วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2552

อาจารย์ทวี ทิวแก้ว อาศรมชีปะขาว ตอน พลังจิตและปาฏิหาริย์ของเหรียญหลวงปู่ทวด ปี ๒๕๑๒



มีเรื่องน่าประหลาดใจอยู่เรื่องหนึ่งครับ....คือเรื่องราวความเป็นมาของหลวงปู่ทวด ถ้าเราสังเกตดูแล้วจะพบว่าประวัติของท่านมีเพียงแต่การบันทึกในรูปแบบลายลักษณ์อักษรเท่านั้น โดยไม่เคยมีผู้ใดได้เห็นหน้าตาของหลวงปู่ทวดว่าเป็นอย่างไร รูปร่างสูงต่ำขนาดไหน และทำไมถึงมีการจัดสร้างวัตถุมงคลรูปเหมือนของท่านออกมาได้ เขาเหล่านั้นใช้หลักการอะไร จินตนาการแบบไหน วิธีการได้มาทำอย่างไร ฯลฯ

หมุนเข็มนาฬิกาย้อนหลังไปสักประมาณห้าสิบปี ในยุคสมัยนั้นร้อยเอกทวี ทิวแก้ว หรือ อาจารย์ทวี ทิวแก้ว แห่ง อาศรมชีปะขาว ได้ชื่อว่าเป็น ผู้ที่มีวิชาอาคมและมีญาณที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะเรื่องของ พลังจิต เป็นที่เชื่อถือกันในกลุ่มลูกศิษย์และผู้ที่เคารพในตัวท่านว่าพลังจิตของท่าน แจ่มใสดุจดั่งดวงแก้ว จนสามารถติดต่อกับญาณบารมีของพระเกจิอาจารย์หรือพระเถระชั้นสูงที่ได้ล่วงลับไปแล้ว....

อาจารย์ ร.อ.ทวี ทิวแก้ว เกิดเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๔๖๑ เวลา ๒๐.๑๕ น. สมัยที่ท่านยังเป็นเด็ก คุณพ่อคุณแม่ของท่านได้นำท่านไปฝากไว้กับพระที่วัดหนัง(ธนบุรี) ซึ่งช่วงนั้นทางวัดหนัง(ธนบุรี) ได้เปิดให้มีการสอนเด็กๆประมาณ ๗๐ คนให้หัดนั่งปฏิบัติสมาธิกรรมฐาน...

ต่อมาปรากฏว่า ท่านพระภาวนาโกศล (เอี่ยม) หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนาม ท่านเจ้าคุณเฒ่า หรือ หลวงปู่เอี่ยม เจ้าอาวาสวัดหนัง(ธนบุรี) ในสมัยนั้น ท่านได้คัดเลือกเด็กชายทวี ซึ่งมีอายุเพียง ๗ ขวบเพียงคนเดียวเพื่อให้คอยปรนนิบัติและให้เข้าไปฝึกปฏิบัติสมาธิในกุฏิของท่านทุกคืนจนเด็กชายทวีโตเป็นหนุ่ม (สำหรับเรื่องราวและกิติคุณของหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ปัจจุบันมีคนเขียนถึงท่านมากมายแล้ว เพื่อนๆสามารถหาอ่านได้ตามหนังสือพระเครื่องทั่วไปครับ)

อาจารย์ทวีถูกเกณฑ์ทหารสังกัดกรมการขนส่งทหารบก เมื่อรับราชการจนครบกำหนดแล้ว ท่านจึงลาออกจากราชการทหารและได้ไปทำงานในเรือเดินทะเลค้าขายระหว่างประเทศ ลูกศิษย์ของอาจารย์ทวีท่านหนึ่งได้เขียนถึง คุณวิเศษและลักษณะนิสัย ของอาจารย์ทวีไว้ว่า....

ครั้งหนึ่งเครื่องยนต์ของเรือได้ดับกลางทะเล แก้ไขอย่างไรก็ไม่สำเร็จ อาจารย์ทวีได้ใช้สมาธิจิตเพ่งจุดหัวเทียน ทำให้เครื่องเรือติดและสามารถวิ่งเข้าฝั่งได้ และด้วยความที่ท่านเป็นคนที่ไม่นิยมการเที่ยวเตร่ ดังนั้นเมื่อกลับเข้าฝั่ง ท่านจึงมักเข้าไปอยู่ในป่าแถบภาคใต้ เพื่อหาความสงบจากการฝึกปฏิบัติสมาธิกรรมฐานตลอดเวลา....

ในช่วงที่อาจารย์ทวีอยู่ในป่า ท่านได้พบกับพระธุดงค์องค์หนึ่ง ซึ่งมาแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ท่านเห็นหลายอย่าง แต่ตัวของอาจารย์ทวีเองกลับไม่รู้สึกตื่นเต้นหรือแปลกใจแต่ประการใด ดังนั้นเมื่อพระธุดงค์องค์นั้นชักชวนให้ท่านไปเรียนวิชา ท่านจึงได้ปฏิเสธออกไป โดยท่านให้เหตุผลว่า.....

ท่านมีครูบาอาจารย์อยู่แล้ว คือ หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง....

พระธุดงค์องค์นั้นก็ไม่ได้ละความพยายามได้เวียนมาชักชวนท่านถึงสามครั้ง โดยครั้งสุดท้ายพระองค์นั้นได้มาในร่างของสงฆ์แต่ แต่งชุดขาวเป็นชีปะขาว และบอกว่าชื่อของท่านคือ หลวงปู่ทวด มีความต้องการรับอาจารย์ทวีเข้าเป็นลูกศิษย์ เมื่ออาจารย์ทวีได้ทราบว่าพระธุดงค์องค์นี้คือหลวงปู่ทวด ท่านจึงน้อมรับเข้าฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) และได้รับการถ่ายทอด วิชาสมาธิจิตและวิชาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับองค์หลวงปู่ทวด ให้กับท่าน...

หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) ได้บอกกับท่านว่า หลวงปู่ปรารถนาพุทธภูมิ คือ เจตนาเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคต แต่ขณะนี้ท่านเป็น พระโพธิสัตว์ ดังนั้นคาถาที่ใช้สวดบูชาและนมัสการท่านคือ...

นะโม โพธิสัตว์โต อาคันติมายะ อิติภะควา...

ตามหลักของพระพุทธศาสนา มนุษย์ประกอบด้วย กาย และ จิต โดย กายเป็นรูปธรรม และ จิตเป็นนามธรรม

อาศรมชีปะขาว เป็นสำนักที่เปิดสอนและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องของสมาธิจิต โดยอาจารย์ทวี ทิวแก้วท่านจะสอนเรื่องของจิตและวิญญาณตามหลักของพระพุทธศาสนา ซึ่งถ้าจะว่ากันไปแล้วคำว่า จิต และ วิญญาณ เป็นเรื่องที่แอบอิงเข้ากันกับเกือบจะทุกศาสนา

เพราะว่าอะไรหรือครับ.....

คำตอบแบบขั้นอนุบาลว่าอย่างนี้

เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ ความเชื่อของมนุษย์ ที่มีมาตั้งแต่อดีต เพียงแต่ว่า นัยยะความหมาย ของแต่ละศาสนาจะแตกต่างกันออกไป

คุณสมบัติของจิต...เชื่อกันว่าสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าสิ่งใดๆที่เราเคยรู้จักกัน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะอยู่ที่ไหนเพียงเรานึกถึงสิ่งนั้น จิตของเราก็จะวิ่งไปทันที นอกจากนี้จิตยังสามารถทะลุทะลวงผ่านวัตถุและสิ่งต่างๆได้อย่างไร้ขีดจำกัดและไร้ซึ่งขอบเขต คุณสมบัติทั้งหมดนี้เราเรียกมันว่า ...พลังจิต

พลังจิตต่างจากพลังงานอื่นๆทางวิทยาศาสตร์ เช่นพลังงานไฟฟ้า พลังงานน้ำ ฯลฯ ตรงที่จิตมี ตัวรับรู้อารมณ์ ที่เรียกว่า วิญญาณ โดยอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ

สิ่งมีชีวิตก็เช่นเดียวกัน..เราสามารถแยกออกได้เป็นสองชนิดคือ สิ่งมีชีวิตแต่ไม่มีวิญญาณ และ สิ่งมีชีวิตที่มีวิญญาณ ซึ่งคำที่เรามักจะได้ยินเสมอเมื่อพูดถึงเรื่องเหล่านี้ก็คือคำว่า จิตวิญญาณ

ซึ่งวิญญาณนี้ ทางพุทธศาสนาอธิบายความไว้ว่า เป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง สามารถรับอารมณ์ได้ไกล มีการเกิดดับทุกขณะและมีอยู่ในสมองเป็นส่วนใหญ่.....

โดยปกติแล้ว จิตกับกาย มักจะคู่กันเสมอ แต่สำหรับผู้ที่มีฌานจากการฝึกปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาจนถึงขั้น อาจแยกจิตออกจากกายได้ ซึ่งอาจจะเป็นแบบชั่วคราวหรือแยกเป็นแบบระยะเวลาที่ยาวนาน ลักษณะแบบนี้เราเรียกว่า นิโรธสมาบัติ ครับ

ดังนั้นไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นคนธรรมดาหรือพระสงฆ์ หากสามารถปฏิบัติจนเข้าสู่ นิโรธสมาบัติ ได้เป็นประจำก็จะต่อยอดให้เกิด ฌาน ต่างๆ เช่น เจโตรปริญาณ ได้แก่ การอ่านใจผู้อื่น หรือ อนาคตังสญาณ ได้แก่ การรู้อนาคต ฯลฯ

นั่งพักกันตรงนี้สักนิดครับ....ที่เขียนมาข้างต้นเพื่อต้องการปูทางของคำว่า การนั่งสมาธิตรวจสอบ หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า การนั่งทางใน ว่าทำไมคนที่ได้รับการฝึกฝนทางจิตมาดี สามารถรับรู้เรื่องราวต่างๆ ได้ เรื่องพวกนี้นอกจากการหมั่นฝึกปฏิบัติตามหลักการและวิธีที่ถูกต้องแล้ว โดยส่วนตัวของผม คำว่าบุญบารมีที่คนๆนั้นเคยทำมาก็ยังมีส่วนด้วยครับ….

คุณวิเศษเฉพาะตัวของอาจารย์ทวี ทิวแก้ว ตามที่ผมได้ศึกษามาจากบทความของท่านพันโท นายแพทย์สมพนธ์ บุณยคุปต์ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ก็คือการที่อาจารย์ทวี สามารถนั่งสมาธิตรวจสอบ ได้อย่างแม่นยำเป็นที่อัศจรรย์ใจ

เช่นการที่นายแพทย์สมพนธ์ ได้นำผ้าเช็ดหน้าห่อพระเครื่องไว้สามองค์ อาจารย์ทวีสามารถนั่งสมาธิตรวจสอบได้ว่าในห่อผ้านั้นมีพระอยู่กี่องค์และเป็นพระอะไร ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้อาจารย์ทวี ท่านได้บอกไว้ว่าเป็นเรื่องของการใช้ พลังจิต อธิบายความได้ว่า...

เกิดจากการทำสมาธิให้จิตนิ่งและนำจิตนั้นไปใช้งาน เหมือนพลังงานอื่นๆ.....

และเมื่อนายแพทย์สมพนธ์ ต้องการทดสอบเรื่องของ ความแรงของพลังจิต โดยให้ช่วยตรวจสอบพลังของพระพุทธรูปที่บ้านพัก อาจารย์ทวีก็สามารถบอกได้อย่างถูกต้องว่าพระพุทธรูปเชียงแสน ๑ ที่บ้านของนายแพทย์สมพนธ์ มีพลังงานแรงมากแต่ชำรุด ซึ่งเมื่อมีการนำพระองค์ดังกล่าวมาตรวจสอบก็พบว่า..พระองค์นั้นเศียรหักและถูกต่อคอเอาไว้...

ด้วยความที่นายแพทย์สมพนธ์ ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทำให้ท่านอยากพิสูจน์พลังของจิต ท่านจึงได้เอาแผ่นตะกั่วที่กันแสงเอกซเรย์ได้ มาทุบเป็นกล่องสี่เหลี่ยมครอบกันเอาไว้แล้วเอาเงินใบละสิบบาทพับใส่ลงในกล่อง เสร็จแล้วก็ครอบฝาปิดกล่องเอาไว้ ท่านเล่าว่าได้นำกล่องใบนี้ไปให้อาจารย์ทวีโดยบอกว่า....

อยากทดสอบพลังของจิตว่าแรงกว่าเครื่องเอกซเรย์หรือไม่....

อาจารย์ทวี มองลอดแว่นแล้วบอกว่าเรื่องนี้ไม่ต้องถึงท่านก็ได้ ให้ หูทิพย์ ดูก็ได้ หูทิพย์ในที่นี้คือ ด.ช.โสตรทิพย์ ทิวแก้ว บุตรชายของท่านที่พิการแต่กำเนิด

กล่าวคือหูทิพย์เป็นเด็กที่ไม่มีรูหู ซึ่งตามปกติแล้วคนที่ไม่มีรูหูมักจะเป็นใบ้ แต่อาจารย์ทวี ท่านได้ใช้พลังจิตรักษาและสอนภาษาตั้งแต่เล็กๆ จนหูทิพย์ สามารถพูดได้ ฟังได้และเรียนหนังสือได้ โดยอาศัยการดูปากและเสียงที่มากระทบบริเวณแก้ม

ท่านเล่าว่าขณะนั้น ด.ช.โสตรทิพย์ มีอายุได้สักประมาณสิบกว่าขวบและกำลังวิ่งเล่นอยู่ อาจารย์ทวีได้เรียกให้เขามานั่งดูของในกล่อง ด.ช.โสตรทิพย์นั่งหลับตาดูสักพักจึงลืมตาแล้วบอกว่า....

แบงค์พ่อ แบงค์..

อาจารย์ทวี ถามต่อว่า ใบละเท่าไร...

ด.ช.โสตรทิพย์นั่งหลับตาอีกแล้วบอกว่า...

แบงค์สิบพ่อ..

และเมื่ออาจารย์ทวี ถามต่อว่ามีเลขอะไรบ้าง ด.ช.โสตรทิพย์ก็บอกเลขออกมา เมื่อนายแพทย์สมพนธ์ท่านได้เปิดฝากล่องและดูเบอร์ของธนบัตร ท่านพบว่า

ตัวเลขตรงกันแต่มีสลับที่กันอยู่บ้าง...

แต่ท่านว่าเพียงเท่านี้ก็สร้างความมหัศจรรย์ใจให้กับตัวท่านแล้ว ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ทำให้ท่านมีความเชื่อว่า...

พลังจิตมีความมหัศจรรย์จริงๆ และไม่มีข้อขีดขั้นของอายุผู้ปฏิบัติ...

จะว่าไปแล้วเรื่องราวของคุณวิเศษและความสามารถพิเศษในเรื่องพลังจิตของอาจารย์ทวี ทิวแก้วและบุตรชายคือ ด.ช.โสตรทิพย์ ทิวแก้ว ยังมีอีกมากมาย ตลอดจนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็เกิดขึ้นต่อหน้าบุคคลหลายๆท่าน ซึ่งบุคคลต่างๆที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ก็เป็นเสมือนพยานบุคคลที่เข้ามาเป็นส่วนประกอบสำคัญยืนยันในเรื่องเหล่านี้...

ความมหัศจรรย์ของพลังจิตที่เกิดขึ้น หมายรวมถึง..การทำนายทายทัก การวิเคราะห์โรค การติดต่อสื่อสารกับสิ่งเร้นลับ รวมไปถึงการติดต่อกับญาณบารมีของพระเกจิอาจารย์ที่ได้ล่วงลับไปแล้วอย่าง หลวงปู่ทวด...

อาจารย์ทวี ในสมัยนั้นท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย มีทั้งบรรดาพ่อค้าประชาชนทั่วไปและรวมไปถึงข้าราชการนายทหารชั้นผู้ใหญ่อีกหลายท่าน ซึ่งแต่ละท่านได้ให้ความเคารพนับถือถวายตัวเป็นลูกศิษย์....

อาจารย์จิตร บัวบุศย์ อดีตอาจารย์วิทยาลัยเพาะช่าง ก็เป็นศิษย์คนหนึ่งของอาจารย์ทวี ทิวแก้ว เช่นเดียวกัน

ครั้งนั้นอาจารย์จิตร ต้องการจะหาเงินเพื่อสร้าง วัดวังรี จ.นครนายก และวัดสุทธาวาส จ.ฉะเชิงเทรา โดยท่านคิดว่าจะสร้างพระหลวงปู่ทวด(เหยียบน้ำทะเลจืด) แต่ช่างปั้นก็ไม่รู้ว่าจะปั้นอย่างไร เพราะไม่มีรูปของหลวงปู่ทวดเป็นแบบและก็ไม่เคยมีใครได้เห็นหลวงปู่ทวดมาก่อน...

ด้วยเหตุนี้ทำให้อาจารย์จิตร จึงต้องให้อาจารย์ทวี ทิวแก้ว มาเป็นผู้ชี้ทางสว่าง....

วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๐๕ ท่านอาจารย์ทวี ทิวแก้วได้จัดพิธีขึ้นที่อาศรมชีปะขาว สิ่งมหัศจรรย์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่ออาจารย์ทวี ท่านได้นำอาจารย์จิตรเข้ามาร่วมในพิธี....อาจารย์จิตรได้บรรยายความรู้สึกขณะนั้นว่า....

ร่างกายร้อนฉ่า...ความร้อนนั้นค่อยๆเคลื่อนตัวไปที่ต้นแขน...ไปที่ปลายมือและวูบวาบไปที่มือ ไปประจวบรวมกันที่หัวแม่มือ..จนอาจารย์จิตรต้องยกนิ้วมือขึ้นมอง...

ทันใดนั้น สิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นในชีวิตก็ปรากฏขึ้น....

เมื่อนิ้วหัวแม่มือของอาจารย์จิตรที่บริเวณเล็บนั้น คล้ายกับเป็นแสงสว่างวูบขึ้นแวววาว จากนั้นก็ค่อยๆ หรี่ลงๆ และปรากฏเป็นภาพรางๆ ที่ค่อยๆ ชัดขึ้นที่ละน้อย กลายเป็นภาพของหลวงปู่ทวด ซึ่งปรากฏเห็นอย่างชัดเจน ไปจนถึงพระอุระของท่าน....

ภาพที่เกิดขึ้นบนเล็บของอาจารย์จิตร บัวบุศย์นั้นชัดเจน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ก็มีหลายคนอยู่ร่วมเหตุการณ์ สามารถยืนยันได้ ซึ่งตัวอาจารย์จิตรเอง ท่านก็ได้บันทึกเหตุการณ์นี้ไว้เป็นลายลักษณ์อักษรว่า นับเป็นเหตุการณ์ปาฏิหาริย์

ในพิธีอัญเชิญรูปหลวงปู่ทวดให้มาปรากฏบนนิ้วมือของอาจารย์จิตร บัวบุศย์ครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นแบบในการสร้างพระรูปหลวงปู่ทวดจนเป็นที่สำเร็จ โดยครั้งแรกเป็นการสร้างพระเนื้อว่านมงคล ๑๐๘ ชนิด เมื่อมีการสร้างเสร็จแล้วได้นำมาแจกจ่ายให้กับลูกศิษย์ทั้งหลายได้บูชาและหมดไปอย่างรวดเร็ว...

แต่ก็ยังไม่เพียงพอเนื่องจากลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ทวี ทิวแก้วยังคงมีอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละคนเมื่อได้รับไปบูชาแล้วต่างก็มีประสบการณ์มากมายทั้งแคล้วคลาดภยันตรายนับไม่ถ้วน ทำให้ผู้ที่ได้รับรู้เรื่องราวอันนี้อยากจะมีไว้บูชากันบ้าง..

ด้วยเหตุนี้อาจารย์ทวี ท่านจึงได้สร้าง เหรียญหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด เป็นเหรียญทรงกลมขึ้นอีกครั้งในปี ๒๕๑๒ เพื่อแจกจ่ายให้กับลูกศิษย์ของท่านเช่นเคย แต่ในครั้งนี้อาจารย์ทวี ท่านได้แบ่งเหรียญรุ่นนี้ส่วนหนึ่งเก็บไว้ในหีบเพื่อบูชาในพิธีต่างๆของท่าน

ว่ากันว่าเหรียญที่ท่านสร้างแจกในครั้งนั้นก็สร้างปาฏิหาริย์ต่างๆไว้จนไม่สามารถบรรยายได้หมด และเราอาจจะพบเห็นได้ในคอของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่บางคน เพราะบางท่านก็มีช่วงอายุทันเหตุการณ์ในครั้งนั้น

ประกอบกับว่าเป็นที่รับรู้ของลูกศิษย์ว่าอาจารย์ทวี ท่านมีญาณสื่อกับหลวงปู่ทวดได้ ดังนั้นคุณวิเศษของเหรียญรุ่นนี้ผมคงไม่ต้องมานั่งอธิบายความครับ เยี่ยมจริงๆ

หลังจากที่อาจารย์ทวี ทิวแก้วได้ถึงแก่กรรมแล้ว ก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถประกอบพิธีอัญเชิญหลวงปู่ทวดเช่นนี้ได้อีกเลย....

วันเวลาที่ผ่านล่วงเลยไป ถึงจะไม่มีอาจารย์ทวีแล้วแต่บรรดาลูกศิษย์ก็ยังคงไปมาหาสู่กราบไหว้ที่อาศรมชีปะขาวกันอย่างสม่ำเสมอ ในระหว่างที่บรรดาลูกศิษย์ช่วยกันจัดเก็บข้าวของในอาศรมชีปะขาว ก็ได้พบหีบเก่าอยู่ใบหนึ่ง จึงตัดสินใจเปิดดู โดยมีท่านพลตรีประจักษ์ ธูปเทียนรัตน์ หนึ่งในบรรดาลูกศิษย์เป็นหัวหน้าประจักษ์พยานในการเปิดดูครั้งนี้..

สิ่งที่ได้พบในหีบใบนั้นก็คือ..

เหรียญหลวงปู่ทวด ที่อาจารย์ทวีได้สร้างขึ้นในปี ๒๕๑๒ จำนวนหนึ่งและจดหมายของอาจารย์ทวี ที่เขียนใส่ไว้...

เนื้อหาและใจความในจดหมายเสมือนหนึ่งว่า ท่านอาจารย์ทวี ทิวแก้ว จะล่วงรู้ถึงอนาคตว่าจะต้องมีลูกศิษย์ของท่านมาพบกรุเหรียญหลวงปู่ทวดในหีบใบนี้...โดยท่านเขียนไว้ว่า....

ขอให้สานต่อการสร้างวัด ๒ แห่งที่ท่านสร้างไว้ในอดีตให้แล้วเสร็จคือ วัดวังรี จ.นครนายกและวัดสุทธาวาส จ.ฉะเชิงเทรา และเหรียญดังกล่าวให้รวบรวมแจกจ่ายแก่ผู้ที่ศรัทธาไว้สักการบูชา ด้วยบารมีพุทธคุณของหลวงปู่ทวด จงโปรดคุ้มครองแก่ลูกหลานทีมีความเลื่อมใสให้แคล้วคลาดปลอดภัย....

ครับเรื่องราวอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์มีอยู่มากมายที่ยังหาคำตอบไม่ได้ จึงไม่แปลกครับที่คนยุคใหม่และนักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยที่ไม่เชื่อ....

เรื่องราวของหลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) กับท่านอาจารย์ร้อยเอกทวี ทิวแก้ว ตามบันทึกน้อยของผมตอนนี้ก็เป็นเรื่องของอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญสักเท่าไรตามหลักของพระพุทธศาสนา….

ตอนที่มนุษย์ยังไม่รู้ว่าโลกเรากลม บรรดานักคิดในสมัยนั้นต่างก็เชื่อและพากันอธิบายกันว่าโลกของเราแบน ซึ่งพวกเราก็เชื่อตามนั้น จนมีคนๆหนึ่งตั้งคำถามขึ้นมาว่าโลกเราแบนจริงหรือ....

ทุกวันนี้เราคงทราบกันแล้วครับว่าโลกของเรากลม วิทยาศาสตร์มีคำตอบ...

แต่เพื่อนๆเชื่อไหมครับว่าเรื่องของอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถที่จะหาเหตุผลมาหักล้างได้ เพราะเรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องของความเชื่อ ที่อยู่เหนือธรรมชาติและมีผลต่อจิตใจของมนุษย์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

ว่ากันว่าความเชื่อเหล่านี้จะสามารถลดความหวาดกลัวของมนุษย์ลงไปได้ตลอดจนเป็นการสร้างเกราะกำบังความกลัวและก่อให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาร่วมกัน

ตราบใดที่เรายังคงเป็นชาวพุทธและยังคงมีความเชื่อในเรื่องเครื่องรางของขลังว่ามีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์จริงๆ ก็ขอจงมองหาเหรียญหลวงปู่ทวด ปี ๒๕๑๒ ของอาศรมชีปะขาวไว้แขวนคอเถอะครับ ดีกว่าจะไปมองหาพระหลวงปู่ทวดรุ่นเก่าๆแพงๆ และต้องเสี่ยงต่อการเสียเงินเปล่าๆโดยได้รับอะไรก็ไม่รู้รูปร่างเหมือนพระเครื่องมาแขวนคอ

เพราะเมื่อมีเหตุการณ์อันตรายเกิดขึ้นแล้วผมเชื่อว่า บารมีของหลวงปู่ทวด และพลังจิตของอาจารย์ทวี เมื่อนำมารวมกับ้นแล้วผมเชื่อว่า "องมาแขวนคอะไม่งมงาย สุดท้ายก็จะส่งผลให้ท่านมีความมั่นคงทางจิตใจขอจงมองหาเหรียญหลวง”Wความเชื่อมั่นและความศรัทธาก็จะส่งผลให้ท่านมีความมั่นคงทางจิตใจ และมีความปลอดภัยในชีวิต ขอเพียงแต่ให้เราได้ใช้สติปัญญาพิจารณาเรื่องต่างๆอย่างถ่องแท้และไม่งมงาย....

สุดท้ายนี้ขอบารมีหลวงปู่ทวด(เหยียบน้ำทะเลจืด) จงดลบันดาลให้เพื่อนๆและเครือญาติ เจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ลาภ ยศ สรรเสริญและคุณธรรมยิ่งๆขึ้นไปเทอญ....สวัสดีครับ

ขอขอบพระคุณ ข้อมูลอ้างอิงจากนิตยสารพระเครื่องปรกโพธิ์ ฉบับที่ ๕๕ หนังสือพลังจิต-อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ โดยพันโทนายแพทย์สมพนธ์ บุณยคุปต์ คุณพรชนก สุขพงษ์ไทยสำหรับข้อมูล เพื่อนต่อสำหรับคำแนะนะ คุณสมบูรณ์ ร้านนายฮ้อ สระบุรี กับกำลังใจที่มีให้เสมอครับ


วันศุกร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2552

พระปิดตามหาลาภ หลวงพ่อสาลีโข



ท่่ามกลางยุคสมัยที่เปลี่ยนไป การที่เราจะไว้เนื้อเชื่อใจใครสักคนไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆนัก โดยเฉพาะกับคนที่นิยมในเรื่องวัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง ผมเชื่อว่าทุกคนต้องเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า

พระเกจิองค์นี้เชื่อถือได้หรือเปล่า

ของๆท่านแขวนแล้วมั่นใจแค่ไหน

หรืออีกหลายเรื่องราวที่เป็นข้อสงสัย..

เรื่องราวการปลุกเสกพระชุดหนึ่งโดยหลวงพ่อสาลีโข..ที่แสนจะธรรมดาของพวกเขา และกับพวกเราได้รับฟังแล้วลองคิดดูครับ

เวลามีน้อย ...ออกแขกนานเดี๋ยววัยรุ่นเซ็ง เข้าประเด็นเลยละกันครับ สำหรับความคิดคนอื่นผมไม่รู้ แต่สำหรับผมแล้วเสน่ห์ของพระปิดตารุ่นนี้อยู่ตรงที่

๑.เป็นการสร้างจากผงพุทธคุณของหลวงพ่อ คือ ผงมหาราชและผงปถมัง ผงทั้งสองชนิดนี้สรรพคุณพื้นฐานคือเมตตา มหาลาภ ผมเองก็ไม่ค่อยจัดเจนเรื่องการทำผงพุทธคุณพวกนี้นัก

อาศัยก็ที่หลวงพ่อเคยบอกว่า ปถมัง คือผงที่ให้คุณวิเศษ ทางด้านโภคทรัพย์ มหาลาภ ส่วนผงมหาราช ท่านว่าเป็นเมตตามหานิยมอย่างเอกอุ ซึ่งท่านจะใช้ผงมหาราชที่ท่านลบเอง นี่แหละครับลงนะหน้าทองให้กับลูกศิษย์

๒.เป็นการสร้างจากภายในสำนัก ข้อนี้หลวงพ่อสาลีโข ท่านถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากและเคยบอกเล่าเปรียบเทียบให้ผมว่า ...

"การที่จะให้ทารกเกิดมาในสภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง ย่อมจะต้องกำเนิดจากครรภ์ที่ดี..."

ฉันใดก็ฉันนั้น..

การสร้างพระก็เช่นเดียวกันควรสร้างจากในวัด ซึ่งเป็นเสมือนถิ่นกำเนิด เพื่อพระที่สร้างออกมาจะได้มีคุณภาพ และมันก็คงเป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมาเลยครับ..

"ทุกวันนี้พุทธอุทยานธรรมโกศลไม่เคยสร้างพระนอกวัดเลย"

พระผงปั๊มกันในสำนัก พระโลหะ เททองหล่อพระก็กระทำกันภายในสำนัก

๓.หากเราได้สืบค้นพระเครื่องที่หลวงพ่อสาลีโขได้เคยสร้างมาทั้งหมด จะพบว่า พระปิดตาที่เป็นเนื้อผงปถมังและมหาราช ก็คือรุ่นนี้ ...พระปิดตาที่เป็นเนื้อผงพุทธคุณผสมว่านและธาตุกายสิทธิ์ต่างๆ ก็คือพระปิดตาองค์จิ๋ว ที่อยู่ในชุดเบญจภาคี ส่วนเนื้อโลหะคือเหรียญทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ขนาดเล็กและใหญ่..

สรุปแล้วถ้าผมไม่เพี้ยนนัก น่าจะมีสามรุ่นกับสี่แบบ

จะว่าไปแล้วพระปิดตามหาลาภชุดนี้เป็นการสร้างโดยดำริของหลวงพ่อ ปั๊มโดยน้ำมือของเหล่าศิษย์ภายในสำนักฯ เจตนาเพื่อแจกเป็นที่ระลึกในงานทอดผ้าป่า ทั้งหมดนี้คือมุมที่พวกเราทราบกันโดยทั่ว...

แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งของสมองด้านซ้าย

"พระปิดตาที่สร้างโดยน้ำมือและหัวใจเหล่านี้"

ยังก่อให้เกิดบรรยากาศที่ดีในการสร้าง รวมทั้งยังเป็น

"วัฒนธรรมอันงดงามของพุทธอุทยานธรรมโกศลแห่งนี้ด้วย.."

ลูกศิษย์ท่านหนึ่งที่ร่วมอยู่ในพิธีการปลุกเสกพระปิดตาชุดนี้ ได้เล่าเหตุการณ์ให้ผมฟังว่า..

หลวงพ่อได้นำพระปิดตามหาลาภ เข้าไปปลุกเสกเดี่ยวภายในถ้ำแห่งหนึ่ง โดยใส่รวมกันในบาตร..

หลวงพ่อปลุกเสกไปสักพัก พระปิดตาที่อยู่ในบาตร ได้ลอยกระโดดขึ้นจากบาตร...”

ผมฟังแล้วก็รู้สึกเฉยๆ ไม่แปลกครับ สมัยนี้ปลุกเสกลอยออกจากบาตรเยอะแยะ ไม่ใช่เฉพาะพระสงฆ์ ฆราวาสก็ทำได้....ลอยแล้วก็แล้วกันแบบตูมเดียวจบ...ลอยได้ไม่แปลก กระโดดได้ไม่แปลก แต่..

"แปลกตรงวิธีการลอย วิธีการกระโดด...."

เขาเล่าว่า....

พระปิดตาทั้งหมดนี้กระโดดขึ้นลงเหมือนข้าวโพดคั่วหน้าโรงภาพยนตร์ ลอยขึ้น ลอยลง ลอยลงแล้วลอยขึ้น สลับกันแบบนี้อยู่อึดใจใหญ่เลยทีเดียว จนหลวงพ่อท่านลืมตาและออกจากสมาธินั่นแหละครับ...”

เสร็จพิธีหลวงพ่อท่านแจกให้กับลูกศิษย์ที่อยู่ในพิธีคนละองค์ ผมถามว่าแล้วพี่ๆ เก็บพระชุดนี้ไว้เยอะไหม เขาบอกว่าไม่เคยเก็บ ได้ที่หลวงพ่อให้มาองค์เดียวก็พอแล้ว..

วันนั้นผมกลับบ้านมานั่งนึกดู

"พระที่ปลุกเสกก็เก่ง แถมเสกพระก็ลอยได้...."

หรือเขาจะหลอกเรา ด้วยอารมณ์ที่ไม่อยากให้ประมาณนั้น อย่ากระนั้นเลย ด้วยความละโมบจนทนไม่ไหวรุ่งขึ้นไปหาพี่คนนี้อีกรอบ ......

ถามด้วยคำถามเก่าๆ แต่วันนี้คำตอบที่ได้รับ น่ารัก น่าชัง มากครับ....เขาว่า

อ๋อ...เรื่องหลวงพ่อปลุกเสกแล้วพระลอยได้ สำหรับพวกเราแล้วเห็นจนชิน มันเป็นเรื่องธรรมดาครับน้อง..”

สวัสดีครับ........

หลวงพ่อชำนาญ อุตตมปัญโญ วัดบางกุฏีทอง ตอน กังวาน วรกิจ :


หลวงพ่อสอนศิษย์เสมอว่า

เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนานั้นแสนยาก ปัจจุบันนี้มีโอกาสแล้ว ให้พยายามละชั่วให้มากๆ ทำดีให้ถึงที่สุด

จะได้ไม่เสียชาติเกิด ไม่รู้ว่ากี่แสนชาติกี่ล้านภพ จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาอันประเสริฐสูงสุดอย่างนี้อีก.....

บันทึกน้อยตอนนี้ขึ้นต้นเรื่องด้วยคำสอนของท่านหลวงพ่อชำนาญ อุตตมปัญโญ หรือ ท่านพระครูปทุมวรกิจ เจ้าอาวาสวัดบางกุฏีทอง จังหวัดปทุมธานีครับ...

หลวงพ่อชำนาญ ท่านเป็นพระเชื้อสายมอญ บรรพบุรุษของท่านสืบเชื้อสายมอญมาตั้งแต่อดีต การที่ท่านได้เล่าเรียนวิชาอาคมจากครูบาอาจารย์เชื้อสายมอญ ทั้งที่เป็นพระสงฆ์และฆราวาส ทำให้ท่านมีความรู้ในเรื่องของวิชาอาคม พิธีกรรม ธรรมเนียมปฏิบัติ ของสายทางมอญเป็นอย่างดี

จะว่าไปแล้วในปัจจุบันผมเชื่อว่าท่านเป็นพระที่สืบสายความรู้ในด้านต่างๆของมอญเก่งอย่างชนิดที่เรียกว่า หาตัวจับได้ยาก..

ความชอบและความอยากรู้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงคน มันเป็นแต่เพียงขยายสิ่งที่ชอบ สิงที่อยากรู้ให้ใหญ่ขึ้น....

หลวงพ่อเคยเล่าให้ผมฟังว่า ตอนที่ท่านยังเป็นสามเณรน้อย ท่านได้เรียนหนังสือไทยและมอญ ควบคู่กันไป และยังได้ติดตามอาจารย์ของท่านซึ่งมีทั้งพระไทยและพระเชื้อสายมอญ ออกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ....

ด้วยใจที่รักในเรื่องเหล่านี้ ท่านจึงได้ขอเรียนวิชาทั้งจากพระสงฆ์และฆราวาส เดินทางเข้าไปเรียนถึงประเทศพม่า วิชาต่างๆที่ท่านศึกษามาปัจจุบันนี้ท่านก็ได้นำมาสงเคราะห์แต่บรรดาลูกศิษย์ตลอดจนผู้ที่เข้ามาแสวงหาที่พึ่งทางใจ

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยา การรักษาโรคแบบโบราณ เช่นการเสกไพล รักษาโรค หลังจากได้สะสมวิชาการต่างๆจนพอใจแล้ว ท่านจึงได้เดินทางกลับมาจำพรรษาที่วัดบางกุฎีทองแห่งนี้

สมัยนั้นเจ้าอาวาสวัดบางกุฎีทองมีชื่อว่า หลวงปู่สุรินทร์ เรวโต หลวงปู่สุรินทร์ ท่านเป็นลูกศิษย์ของ ท่านเจ้าคุณรามัญมุนี เจ้าอาวาสวัดบางหลวง หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง นครปฐม หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก...

สามเณรน้อยชำนาญ ท่านได้อยู่ปรนนิบัติหลวงปู่สุรินทร์ โดยนอนอยู่กุฎิเดียวกัน ทำให้สามเณรชำนาญท่านได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆจากหลวงปู่สุรินทร์ไว้จนหมดสิ้น จนท่านอายุครบบวช

หลวงปู่สุรินทร์ท่านจึงได้จัดอุปสมบทให้ โดยมี พระราชพุฒิเมธี (เทียน ฐานุตตโม) วัดบางหลวง เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูปทุมธรรมนุสิฐ (หลวงปู่สุรินทร์) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระครูปทุมสุตคุณ เจ้าคณะตำบลบางกระดี เป็นพระอนุสาวนาจารย์...

จะว่าไปแล้ววัดบางกุฎีทองแห่งนี้มีอายุนานมาเกือบร้อยปีแล้ว เดิมชื่อวัดบางกุฎีมอญ..และตั้งอยู่ในชุมชนเชื้อสายมอญ จัดว่าเป็นวัดเล็กๆซึ่งถามใครก็ไม่ค่อยมีคนรู้จักสักเท่าใด

แต่ปัจจุบันนี้วัดบางกุฎีทองเจริญขึ้นแบบที่เราเรียกว่าพลิกฝ่ามือเลยก็ว่าได้ ความมีชื่อเสียงของวัด ช่วยส่งผลให้คุณภาพชีวิตของชาวบ้านย่านบางกุฎีแห่งนี้ดีขึ้นตามไป

ไม่ว่าจะเป็นถนนทางเข้า รวมไปถึงระบบสาธารณูปโภคต่างๆ จึงไม่แปลกหรอกครับที่หลวงพ่อชำนาญ ท่านจะเป็นที่รักและเคารพของชาวบ้านย่านนี้ไม่แพ้ชาวบ้านต่างถิ่น..

ครูบาอาจารย์น่ะเขาไม่ทิ้งศิษย์หรอก ต้องช่วยกันจนกว่าจะตายไปข้างหนึ่งละ....

สมัยก่อน หลวงพ่อชำนาญท่านเคยเป็นพระอาจารย์สักยันต์ เป็นที่เชื่อถือและมั่นใจของลูกศิษย์เลยว่า แมลงวันไม่ได้กินเลือด... ทั้งสักยันต์เอง หรือจะเป็นการสักแก้หลวงพ่อท่านทำมาหมดแล้ว

คงเป็นเพราะคำพูดที่ท่านชอบพูดเสมอว่าไม่ทิ้งลูกศิษย์นี่แหละครับ ทำให้ท่านต้องเดินขึ้นประกันตัวลูกศิษย์บ่อยครั้ง จนสุดท้ายท่านจึงได้เลิกสักยันต์ ถึงแม้ว่าท่านจะเลิกสักยันต์ แต่ท่านก็ไม่ได้เลิกทิ้งความช่วยเหลือที่มีให้กับลูกศิษย์...

บ่อยครั้งครับ ที่ผมมักเห็นหลวงพ่อในสภาพที่อิดโรย เพราะการนั่งรับแขกตั้งแต่เช้าจรดเย็น บางทีก็เลยเข้าไปถึงดึก ท่านจะนั่งรับแขก นั่งรับความทุกข์ทางใจของผู้คนที่เข้ามาหาท่าน

บางคนสมหวังกับไปด้วยรอยยิ้ม ทิ้งให้หลวงพ่อนั่งทำใจใช้สมองว่าจะช่วยแก้ไขให้พวกเขาอย่างไร โดยเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์นี่แหละครับ เราจะเห็นแฟนคลับของหลวงพ่อเข้ามาแวะเวียนเสมอๆ

หลายครั้งที่ การแวะเวียนเข้ามาก่อให้เกิดการเข้าใจผิด โดยเฉพาะกับ ขาจร หรือ ผู้ที่เข้ามาใหม่ ประมาณว่าเห็นคนนั่งรอแล้วถอดใจ ขอเรียนว่าเป็นเรื่องปกติครับ เพราะเมื่อท่านถอดใจ ก็โปรดจงเชื่อมั่นเถอะว่า

ผมเคยถอดใจมากกว่าท่านหลายเท่านัก..

แต่ถ้าเราอดทนและเชื่อถือในกติกา ก็จงเชื่อมั่นอีกเถอะครับว่า

ท่านต้องได้เข้าถึงหลวงพ่อแน่ๆ...

ถามผมว่าเพราะอะไรผมถึงกล้าพูดคำนี้ อยากให้ทุกท่านลองฟังอมตะวาจาของหลวงพ่อที่มักบอกกับลูกศิษย์เสมอๆ...

ถ้าแกไม่ทิ้งข้า ข้าจะทิ้งแกได้อย่างไร มีอะไรขอให้นึกถึงเถอะ ข้าจะไปช่วยแกเอง..

หลายคนที่ฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านจะรู้ดีว่า หลวงพ่อชำนาญให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขาขนาดไหน หากเราละที่จะพูดถึงในเรื่องของวัตถุมงคล เอาเรื่องเกี่ยวกับทางใจ ล้วนๆ....

ผมก็ยกตัวอย่างขึ้นมาไม่ไหวแล้วเพราะมันเยอะจริงๆ..... จะว่าไปแล้ว ปริมาณคนที่เข้ามาเยือนวัดแห่งนี้แหละครับที่มันสามารถเป็นเครื่องวัดคุณภาพอย่างเป็นทางการ..

หลวงพ่อจะให้ความสำคัญและจริงใจในการช่วยเหลือกับทุกคนที่เข้ามาหาท่าน เพราะท่านมักบอกผมแบบติดตลกเสมอเวลาที่ผมเข้าไปกราบท่านว่า..

เวลาพวกเอ็งดีๆ ข้าไม่เคยเห็นหัวเลย...นึกว่าพวกเอ็งไม่รู้จักวัดบางกุฎีทองซะแล้ว

เพื่อนๆ ท่านใดที่มีปัญหาทุกข์ใจหรือต้องการกราบพระดีๆ สักองค์ก็ขอเชิญนะครับ หลวงพ่อท่านยินดีต้อนรับและวัดบางกุฎีทองแห่งนี้ ไม่เคยแบ่งชนชั้น พบปะเจอหน้าพูดคุยได้เสมอ การแก้ไขอาจจะไม่ได้เห็นผลทันตา

แต่แค่ว่า ความสบายใจที่หลวงพ่อได้เมตตารับเรื่องของท่านเพื่อดำเนินการแก้ไขตามกรรมวิธีของท่าน ผมเชื่อว่าก็ส่งผลให้ท่านสุขใจไปได้แล้วครับ ยกเว้นอย่างเดียวที่หลวงพ่อจะไม่ช่วยและถ้ายังใจกล้าถามท่าน เพื่อนๆอาจจะโดนสวนกลับอย่างสุภาพคือ..”การขอหวยครับ...

ที่ผมพ่นมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่นึกจะเล่าก็เล่านะครับ เรื่องทั้งหมดคือความจริง สามารถสอบถามกับลูกศิษย์ของท่านได้ทุกคนว่าหลวงพ่อชำนาญท่านมี ความเมตตา ขนาดนี้จริงหรือเปล่า..อยากให้ทุกท่านได้เข้าใจในสภาพของความเป็นจริง ในยามที่มีคนมากก็ต้องใช้ความอดทนรอกันซักนิด...

จะว่าไปแล้วสภาพสงคมในปัจจุบัน มีลักษณะของการแยกขาดกันอย่างสิ้นเชิง ระหว่างคนที่ รู้ และ เข้าใจ กับ กลุ่มที่ ไม่รู้ และ ไม่เข้าใจ สังคมแบบไหนล่ะครับที่เราว่าน่าอยู่ เพื่อนๆลองคิดดูสิครับ

ส่วนตัวผมแล้วการอยู่ด้วยการพยายามทำความเข้าใจ หมั่นพิจารณา มันคือการทำให้สังคมนี้น่าอยู่ครับ

อวิชชา คือ ความไม่รู้ แต่ถ้าเรารู้และเชื่อฝังใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มันก็จะเป็นอวิชชาได้....ฝากให้พวกเอ็งไว้คิด..

ฟังแล้วต้องถอนหายใจยาวๆ แล้วนั่งลงคิดครับ เป็นเพราะพวกเราไม่เข้าใจในสภาพของหลวงพ่อหรือเปล่า ว่า ณ ขณะนั้นสถานการณ์เป็นอย่างไร ท่านมีกิจธุระส่วนตัวไหม หรือมีภารกิจที่ท่านต้องออกไปปฏิบัติ

และถ้าเราจะเปิดใจอย่างเป็นธรรมแล้วผมคิดว่า ระหว่างพวกเรากับหลวงพ่อชำนาญ เราควรจะเปิดช่องว่างไว้สำหรับให้หายใจระหว่างกันและกันได้ก็จะดีมิใช่น้อย...

ฉะนั้น ต้องเริ่มต้นกันที่ตรงนี้ ตรงที่ความเข้าใจกันก่อนครับ อย่างได้ไขว้เขวหรือคิดเข้าข้างตนเอง.....

ทุกวันนี้สังคมของเราเสื่อมทรามลง เราต้องใช้สติปัญญาให้มากในการใช้ชีวิตในสังคม...

ผมเชื่อว่า ลูกศิษย์ของหลวงพ่อชำนาญคงทราบดีว่า หลวงพ่อเป็นพระนักอนุรักษ์ของเก่า เท่าที่ผมเห็นผ่านๆตามาบ้างก็เช่น ตู้พระธรรม นาฬิกา โกฎิไม้บรรจุกระดูกคนโบราณ ฯลฯ..ที่ยกตัวอย่างมาถือว่าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ครับ แต่เรื่องใหญ่ๆ และเพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๑ คือเรื่องนี้ครับ...

พิธีไหว้ครูดุริยางค์ศาสตร์ นาฏศิลป์ ดนตรีและครอบครู

ซึ่งหลวงพ่อจัดขึ้นเนื่องในโอกาสที่ท่านจะมอบเครื่องปี่พาทย์มอญ ให้กับเด็กและเยาวชน ซึ่งเหตุผลที่หลวงพ่อได้ดำเนินการตั้งวงปี่พาทย์มอญขึ้น เพราะต้องการให้เด็กๆ ได้ฝึกการบรรเลง ดุริยางค์ศาสตร์ จะได้ทำให้เด็กๆเหล่านี้ได้ซึมซาบวัฒนธรรมและรู้จักการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

ซึ่งเมื่อเด็กๆเหล่านี้ออกแสดงและได้เงินมาก็ให้แบ่งเงินออกเป็นสองส่วนคือไว้เป็นทุนการศึกษาของตนเองและให้คุณครูเก็บไว้สำหรับซื้อเครื่องดนตรีเพิ่มเติมและซ่อมแซมเครื่องดนตรีที่ชำรุด...

กังวาน วรกิจ... แปลว่า เสียงสวรรค์อันประเสริฐดังก้องกังวานไปไกลทั่วพื้นธรณี คือชื่อของวงปีพาทย์มอญ วงนี้ครับ...

ในวันนี้ หลวงพ่อชำนาญท่านได้ทำการมอบเครื่องปี่พาทย์มอญให้กับเด็กๆเหล่านี้ และท่านได้เมตตา ครอบครู ให้กับเด็กๆ และลูกศิษย์ที่เข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ แน่นอนครับหนึ่งในผู้ที่เคารพเลื่อมใสในตัวท่านย่อมต้องมีผมด้วย.....

ปกติแล้วหลวงพ่อชำนาญท่านจะจัดงานเป่ายันต์พรหมสี่หน้าและครอบครูแบบรวมกันไปในพิธีเดียวกัน จะว่าไปแล้วก็ต้องเห็นใจหลวงพ่อครับ เพราะการที่จะมานั่งครอบครูให้ที่ละคนเห็นถ้าจะไม่ไหว ลำพังแค่ท่านนั่งหรือเดินประพรมน้ำมนต์ให้กับลูกศิษย์ในพิธีแต่ละครั้งก็แย่แล้วครับ ผมเคยเห็นว่ามีบางปีท่านเดินพรมน้ำมนต์เสียจนหัวไหล่เกือบหลุด

แต่ครั้งนี้พิเศษครับ เพราะท่านได้ครอบครูให้กับลูกศิษย์ด้วยตัวท่านเองที่ละคน เป็นความเชื่อถือและเชื่อมั่นกันเลยว่า..

ผู้ที่เข้ามาครอบครูกับหลวงพ่อมักจะเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้ากันทุกคน

เพราะอะไรทำให้พวกลูกศิษย์เชื่อมั่นกันในเรื่องนี้ ตอบคำถามได้ง่ายมากครับ เพราะบุญบารมีของหลวงพ่อชำนาญที่ท่านได้สั่งสมมาตลอดชีวิตของท่านนั่นแหละเป็นคำตอบสุดท้ายของคำถามนี้

พูดถึงเรื่องของการไหว้ครูกันก่อนครับ...การไหว้ครูถือเป็นวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียม อันดีงามของสังคมไทยมาแต่โบราณแล้วครับ

ซึ่งชาวไทยมีความเชื่อกันว่า ครู เป็นเสมือนพ่อแม่คนที่สอง และ ครู ถือว่าเป็นทิศเบื้องขวา หรือที่เราเรียกกันว่า ทักขิณทิศ เป็น ทิศที่ให้ความถนัด นัยยะคือผู้ที่ให้วิชาความรู้แก่เรา..

อธิบายความได้ว่า การไหว้ครู ก็คือการที่ลูกศิษย์แสดงความเคารพนับถือครูบาอาจารย์ว่าท่านเป็นผู้เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมความรู้ พวกลูกศิษย์ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดความรู้และวิชาการต่างๆ

จึงต้องพร้อมใจกันปวารณาตัวเพื่อรับการถ่ายทอดความรู้ด้วยความวิริยะ อุตสาหะ มานะและอดทน เพื่อให้ตนเองบรรลุวัตถุประสงค์จุดหมายปลายทางของการศึกษาตามที่ตนเองได้ตั้งใจไว้...

ในสมัยโบราณการเรียนดนตรีไทยค่อนข้างจำกัด สถานที่สำหรับเรียนก็หาได้ค่อนข้างยาก ส่วนมากจะฝึกหัดกันอยู่เฉพาะในตระกูล ในครอบครัว ในเครือญาติที่เป็นดนตรีด้วยกัน

เวลาจะไปเรียนก็ต้องมีแบบแผนขนบประเพณี กล่าวคือ ต้องมีผู้ใหญ่พาผู้เรียนไปฝากกับผู้สอน ผู้เรียนต้องเตรียมดอกไม้ธูปเทียนไปไหว้ครูผู้ใหญ่ฝ่ายดนตรีผู้ล่วงลับไปแล้ว และเคารพผู้สอน จึงจะได้รับการประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้และฝึกฝนให้

จะว่าไปแล้วลักษณะนิสัยของคนไทยเรามักจะยึดมั่นในความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ..โดยเฉพาะครูบาอาจารย์ไม่ว่าสาขาวิชาใด เรามักจะเคารพบูชาและน้อมระลึกถึงบุญคุณอยู่เสมอ

เรื่องแบบนี้ ความเชื่อพวกนี้ พวกเราจะละเลยไม่ได้นะครับ...

พิธีไหว้ครูดนตรีไทย นับเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามอย่างหนึ่ง ที่ครูบาอาจารย์ได้กำหนดระเบียบแบบแผน ให้ปฏิบัติสืบเนื่องกันมาแต่โบราณกาล โดยได้นำหลักเกณฑ์และแนวความเชื่อ ในศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธมารวมเข้าด้วยกัน

จึงปรากฏว่านักดนตรีไทยนอกจากจะมีครูเป็นมนุษย์แล้วยังมีครูเป็น เทวดาและฤษีอีกส่วนหนึ่งด้วย

เพราะเป็นที่เชื่อถือกันว่า เทพบางองค์มีความผูกพันเกี่ยวข้องกับดนตรีไทย เช่น พระประโคนธรรพ ถือว่าเป็น ครูตะโพนซึ่งนักดนตรีไทยถือว่าเป็นครูที่มีความสำคัญมาก พระวิษณุกรรมถือว่าเป็นครูแห่งช่างศิลปะแขนงต่าง ๆ เป็นต้น

ย้อนเข้ามาถึงเรื่องของพิธีกรรมครอบครูกันบ้าง ด้วยความที่มักมีเหตุการณ์ปาฎิหาริย์เกิดขึ้นเสมอๆ ในระหว่างการทำพิธีกรรมต่างๆ ที่ผ่านมาของหลวงพ่อ ทำให้ลูกศิษย์ทุกคนมั่นใจว่า

หลวงพ่อชำนาญของพวกเรา ท่านเป็นที่รักของเหล่าเทวดาที่เรามองด้วยสายตาไม่เห็น..

ผมเชื่อว่าเพื่อนคงต้องเคยรับทราบกันมาบ้างแล้วว่า ศาสตร์การครอบครู ถือว่ามีความสำคัญ จะล้อเล่นหรือลบหลู่ไม่ได้ ดังนั้นผู้ที่จะเข้ามาถือ ศรีษะครู จึงต้องมีบารมีพอตัว....

พิธีกรรมการครอบครู เป็นพิธีที่นิยมกันมานานแล้วครับ วิธีปฏิบัติคือการที่นำเอาศีรษะครู หรือที่เราเรียกง่ายๆว่า เศียรครู มาครอบเพื่อรับเป็นศิษย์ นัยว่าครูจะคอยควบคุมรักษา คอยช่วยเหลือให้ลูกศิษย์มีความจำในกระบวนท่ารำ จังหวะ ฯลฯ หากมีสิ่งใดที่ไม่งามจะเกิดขึ้นกับศิษย์ ครูจะช่วยปัดเป่าให้พ้นจากตัวลูกศิษย์

เชื่อกันว่า พิธีกรรมการครอบครู นั้นถือได้ว่าเป็นการทำให้ผู้เรียนมีกำลังใจว่าครูจะคุ้มครองรักษา ครูจะช่วยเหลือแม้จะรำผิดพลาดไปบ้าง จะทำให้ผู้เรียนไม่ตระหนกตกใจจนเกินไป เพราะทุกคนมีความเชื่อมั่นว่าตัวเองได้ทำพิธีครอบครูแล้ว ครูก็จะให้อภัยในความผิดพลาดที่เกิดขึ้นครับ

จริงๆแล้ว ขั้นตอนและพิธีกรรมต่างๆ ยังมีอีกมากครับ นับว่าเป็นการรวบรวมศาสตร์หลายๆอย่างตามคติความเชื่อมั่นแนวนี้ อย่างเช่น..

การจัดวางเศียรครู ที่เศียรซึ่งตั้งเป็นประธานตรงกลางต้องเป็นเศียรของพระอิศวร รองลงมาก็ต้องเป็นเศียรของพระพิฆเนศ หรือ การจัดเครื่องสังเวย ก็ต้องจัดไม่เหมือนกัน ต้องจัดการตามแบบลักษณะเฉพาะของแต่ละองค์ ฯลฯ

ผมคงต้องขออนุญาตติดเรื่องพวกนี้ไว้ก่อนครับ เพราะเรื่องราวค่อนข้างยาวและมีรายละเอียดประกอบอีกมากมาย เรามาว่าในเรื่องของหลวงพ่อชำนาญในอีกแง่มุมอื่นดีกว่าครับ

ผมเชื่อว่าเพื่อนๆ ทุกคนที่ผ่านชีวิตในช่วงวัยรุ่น คงจะต้องเคยตั้งคำถามถึงความปรารถนา ความต้องการของชีวิตว่า ความต้องการ จากสิ่งใดๆในชีวิตเล่าที่จะเข้ามาเติมเต็มชีวิตและวิญญาณของตัวเองได้เต็มที่สุด....

คำถามประเภทนี้ มันไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับพวกเราหรอกครับ มันเกิดขึ้นกับคนทุกยุค ทุกสมัย...ย้อนหลังไปประมาณกว่าสองพันปี โสเครติส นักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงเกรียงไกร ก็ยังเคยถูกตั้งคำถามจากบรรดาลูกศิษย์หนุ่มสาวว่า

โสเครติส สิ่งใดเล่าคือความต้องการในชีวิตของพวกเรากันแน่....

แต่คำถามตามแนวนี้ หากนำมาถามกับหลวงพ่อชำนาญว่าเป็นศิษย์ของหลวงพ่อแล้วจะเจริญก้าวหน้าต้องทำอย่างไรบ้าง...คำตอบมีสองข้อครับ...

๑.ยอมรับกับถือพระรัตนตรัย มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งสูงสุด ที่พึ่งอื่นนอกจากนี้ไม่มี

๒.พยายามรักษาศีลห้าข้อให้ครบบริบูรณ์

เรื่องแบบนี้รัฐธรรมนูญ ไม่ได้บัญญัติไว้ แต่พวกเอ็งต้องจดจำใส่ใจ...

ธรรมมะคือธรรมชาติ อย่ามัวแต่มองออกไปนอกตัว มันอยู่ในตัวพวกเอ็งนั่นแหละ...

ชาวพุทธเชื่อว่า วิธีสร้างบุญบารมีในพระพุทธศาสนามีอยู่ ๓ อย่างคือ

การให้ทาน การถือศีล และการเจริญภาวนา...

ว่ากันว่า การให้ทานหรือการทำทานเป็นการสร้างบุญที่น้อยที่สุด จะทำมากขนาดไหนก็ไม่เท่าการถือศีล และการถือศีลไม่ว่าจะมากมายเหลือคณานับก็ไม่เท่ากับการเจริญภาวนา..

บุญ กับ ทาน มันต่างกัน ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาเราทำบุญเรามักพูดว่าไปทำบุญกับพระ เวลาไปทำทานก็ไปพวกซื้อโลงศพ หรือไปทำทานกับสัตว์...

พวกเอ็งลองคิดดู ไปทำบุญกับพระ เท่ากับเป็นการหล่อเลี้ยงเลือดเนื้อแก่ผู้ที่สืบทอดพระพุทธศาสนา ให้ดำรงอยู่ไว้..

การทำทานก็ถือว่าเป็นเรื่องดี และมีประโยชน์ แต่พวกเอ็งลองคิดดูสิ เรื่องการทำทานมันไม่ได้เป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา เป็นแต่เพียงการทำอะไรให้ตัวเองพอใจเท่านั้น...

ที่ข้าพูดไม่ได้บอกให้พวกเอ็งไม่ต้องทำทาน ตัวข้าเองก็ยังต้องทำทาน เพียงแต่อยากบอกให้พวกเอ็งได้รู้ถึงความแตกต่าง ไม่ใช่มาหาข้าแล้วบอกว่าจะมาทำทานกับข้า....

ผมฟังแล้วก็ต้องหยุดคิดครับ บางทีเราก็แยกไม่ออกระหว่างการทำบุญกับการทำทาน อาจจะเป็นเพราะว่าสังคมในปัจจุบันที่มันเร่งรีบเสียจนเราละเลยรายละเอียดในเรื่องเหล่านี้ก็อาจจะเป็นไปได้ โทษใครไม่ได้ครับ เอาเป็นว่าเข้าใจกันใหม่ให้ถูกต้องก็พอแล้วครับ

สำหรับลูกศิษย์ของวัดบางกุฎีทองแห่งนี้พวกเขามั่นใจครับว่า หลวงพ่อของพวกเขาดีจริง.. คำว่าดีจริงคงใช้กับกลุ่มคนที่นับถือ แต่ตราบใดที่คนเรายังไม่ได้ยืนอยู่ในมุมองศาเดียวกัน ความคิดแตกต่างยังมีให้เห็นเสมอครับ...

ข้าจะเก็บสมบัติเอาไว้ทำอะไร เก็บไว้สร้างกิเลสให้ตัวเองเหรอ เราบวชเป็นพระไม่ต้องกังวล ตายไปก็มีคนเอาไปเผาให้ ถามหน่อยว่าเดือดร้อนอะไร...

ถ้าเราเชื่อว่า ค่าของคน พิสูจน์กันได้ที่ ผลของงาน ผลงานการสร้างประโยชน์และอุปการะให้ความช่วยเหลือของหลวงพ่อชำนาญมีมากมาย รายละเอียดต่างๆ ลองไปอ่านดูได้จากเวปไซด์ของทางวัดจะดีกว่าครับ เพราะผมคงจะเขียนไม่ไหว....

คนเรามองดูไม่ยาก คนไหนที่มีจิตใจหยาบ คำพูด การกระทำ ก็จะออกมาหยาบ แต่ข้าไม่ว่าเขา พวกเอ็งก็ห้ามว่า เรื่องนี้มีเหตุเกิดจากคนพวกนี้ไม่ได้รับการฝึก...

คนที่มีจิตใจละเอียด คือคนที่ได้รับการฝึกมา ฝึกอบรมจิตใจ ดังนั้นเมื่อมีอะไรมากระทบ พวกนี้ก็จะมี สติ ที่จะรู้จักแยกแยะและรู้ถึงสิ่งที่เข้ามาปรุงแต่ง..

เรื่องพวกนี้ดูไม่ยาก ไม่ได้รู้ด้วย ญาณวิเศษอะไรหรอก มองดูด้วยตาก็รู้แล้ว การกระทำมันบอก บางทีว่าไม่ฟัง ข้ายังเคยด่าเลย...

อย่าเอานิสัยฆราวาสมาใช้ที่วัด คุกน่ะเข้ายากแต่อยู่ง่าย วัดน่ะเข้าง่ายแต่อยู่ยาก...

ครับ จะว่าไปแล้วการที่เราจะทำอะไรสักอย่าง ผมว่าความหยาบ ความละเอียด มันอยู่ที่ตัวเราเอง เราเลือกได้ว่าจะทำงานหรือจะมีความคิดแบบไหน จะทำ จะคิด แบบหยาบสุดโต่ง หรือละเอียดสุดขีด แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างที่เราทำมันก็จะมาปรากฏในตัวของเนื้องานที่ออกมา ถามใจตัวเองดูครับว่าเพื่อนๆ ชอบแบบไหน..

ก่อนจบบันทึกน้อยตอนนี้ผมนั่งตั้งคำถามกับตัวเอง ไม่น่าเชื่อครับว่า ยิ่งเราแสวงหาความต้องการของชีวิตมากเท่าไหร่ เราก็จะค้นพบว่า แท้จริงแล้วความต้องการนั้นมันซ่อนอยู่ในวิถีชีวิตของเรานั่นเอง....

ยอมรับกับถือพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งสูงสุด ที่พึ่งอื่นนอกจากนี้ไม่มี...

กังวาน วรกิจ...

เสียงสวรรค์อันประเสริฐดังก้องกังวานไปไกลทั่วพื้นธรณี

ยังคงเป็นมนต์ขลังบางกุฎีทอง ที่ไม่มีวันเสื่อมคลายไปจากใจของเหล่าศิษย์จริงๆ...สวัสดีครับ